4.2.2 ผลการศึกษาการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน บ้านป่าชาเมี่ยง ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
ภาพที่ 166 แผนที่บ้านป่าเหมี่ยง ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
ข้อมูลจำเพาะบ้านป่าชาเมี่ยงตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
ประวัติและความเป็นมาของหมู่บ้าน ป่าเหมี่ยง ในบริเวณนี้มีผู้อยู่อาศัยมาประมาณ 200 กว่าปีมาแล้ว ที่ที่ตั้งรกรากเป็นกลุ่มแรกๆเป็นชนในที่ราบจากหลายพื้นที่ ปัจจุบันหมู่บ้านตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 7 ตําบลแจ้ซ้อน อําเภอเมืองปาน จังหวัดลําปาง เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนภูเขาอยู่ห่างจากอําเภอเมืองปานประมาณ 86 กิโลเมตร และห่างจากตัวเมืองลําปางมาทางทิศเหนือประมาณ 90 กิโลเมตร ปัจจุบันคนในชุมชนส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพหลักคือ ทําสวนชาเมี่ยง และปลูกกาแฟ (พันธุ์อาราบิกา) มีอาชีพเสริม คือ การปลูกเสาวรส ทําหมอนใบชา และปลูกพืชผักสวนครัว เป็นต้น เคยมีการเพาะปลูกข้าวไร่แต่ได้เลิกเพาะปลูกมาประมาณ 10 ปีมาแล้ว เนื่องจากคนในชุมชนเห็นว่า การปลูกข้าวไร่ต้องตัดไม้ทําลายป่า เป็นการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ และบ้านป่าชาเมี่ยงยังมีอาณาบริเวณที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน คนในชุมชนมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับเจ้าหน้าที่อุทยาน เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้คนอยู่กับป่าได้อย่างเกื้อกูลและยั่งยืน ปัจจุบันมีนายชาญชัย จาตุมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่บทบาทสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาชุมชน มีการนำโครงการต่างๆ จากภาครัฐและเอกชน มาพัฒนาหมู่บ้านโดยการปรับวิถีการเกษตรนำการท่องเที่ยว มาใช้เป็นหลักในการพัฒนาชุมช
ผลการวิเคราะห์การจัดการห่วงโซ่อุปทานการผลิตชาเมี่ยงพื้นที่ป่าชาเมี่ยง ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
ในการศึกษากระบวนการผลิตและจัดจำหน่ายชาเมี่ยงบ้านป่าชาเมี่ยงมีกระบวนการทั้งหมด 5 ขั้นตอน ได้แก่
1.) กระบวนการปลูก ในพื้นที่บ้านป่าชาเมี่ยงมีการปลูกชาเมี่ยงครัวเรือนละประมาณ 5 ไร่ ปลูกระยะห่างประมาณ 2 เมตร ผลผลิตประมาณ 150 ต้นต่อไร่ใน 1 ไร่ และบางส่วนเป็นต้นชาเมี่ยงที่อยู่ในเขตพื้นที่ป่าอุทยานร่วมกับต้นไม้ชนิดอื่นๆ ชาวบ้านได้รับอนุญาตให้เข้าไปเก็บเกี่ยวได้ ต้นชาเมี่ยงที่มีอยู่ในปัจจุบันคนในชุมชนสันนิษฐานกันว่าอาจจะเป็นต้นชาเมี่ยงที่มีอยู่แล้วในอดีต ชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่ดินในการปลูกชาเมี่ยง มีลักษณะเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ครอบครองสิทธิในการใช้ประโยชน์ที่ดินในบริเวณผืนป่า ที่ได้มาจากการรับสืบทอดมรดกจากบรรพบุรุษ แต่ไม่สามารถขายต่อให้กับบุคคลอื่นได้ เกษตรกรขยายพันธุ์ชาเมี่ยงโดยการเพาะเมล็ด หรือนำต้นอ่อนที่เกิดจากเมล็ดที่งอกเองตามธรรมชาติในป่าไปปลูกยังพื้นที่ว่างภายในสวนป่า หรือภายในพื้นที่ของตนเองเพื่อทดแทนต้นเดิมที่ตายไป
2.) กระบวนการดูแลรักษา บ้านป่าชาเมี่ยง ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง ปลูกชาเมี่ยงโดยปล่อยตามธรรมชาติ ไม่มีการรดน้ำ ใส่ปุ๋ย แต่มีการตัดแต่งกิ่งและตัดหญ้า การตัดแต่งกิ่งจะตัดปีละ 2 ครั้ง และการตัดหญ้าจะตัดโดยจ้างคนงาน 1-2 คนต่อพื้นที่ 5 ไร่ โดยค่าจ้างคนงานคนละ 500 บาทต่อวัน
3.) กระบวนการเก็บเกี่ยว ในการเก็บชาเมี่ยงบ้านป่าชาเมี่ยงตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง จะมีอุปกรณ์ในการเก็บดังนี้
ภาพที่ 167 อุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บชาเมี่ยงในพื้นที่จังหวัดลำปาง
การเก็บชาเมี่ยงเกษตรกรจะนำตะกร้าแล้วเอาตอกเสียบไว้ที่ผ้า/เชือกมัดเอว และเริ่มทำการเก็บและมัดกำ การเก็บใบชาเมี่ยงจะเด็ดใบชาเมี่ยงแต่ละยอดอ่อนขนาด 1 กำมือ เมื่อเด็ดได้ประมาณ 1 กำมือ (เต็มกำมือ) ก็จะใช้ตอกไม้ไผ่มัด ใน 1 วัน ชาวบ้าน 1 คนจะเก็บได้ประมาณ 100 – 150 กำ (ประมาณ 50-75 กิโลกรัม) และมีการจ้างคนงานเก็บชาเมี่ยง โดยให้ค่าจ้างต่อกิโลกรัม กิโลกรัมละ 10 บาท ซึ่งการเก็บใบชาเมี่ยงจะยืนเก็บทั้งวัน 1 ปีชาวบ้านบ้านป่าชาเมี่ยง ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง เก็บชาเมี่ยงได้เฉลี่ยปีละมากกว่า 1,000 กำต่อครัวเรือน (ประมาณ 500 กิโลกรัม) ช่วงระยะเวลาในการเก็บชาเมี่ยงมี 4 ช่วงได้แก่
- ช่วงแรก เก็บในเดือนเมษายน - เดือนมิถุนายน
- ช่วงที่สองเก็บในเดือนกรกฎาคม - เดือนกันยายน
- ช่วงที่สามเก็บในเดือนตุลาคม - เดือนธันวาคม
- ช่วงที่สี่ เก็บในเดือนมกราคม - เดือนมีนาคม
4.) กระบวนการผลิตชาเมี่ยงแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ การนึ่งและการหมัก จะเห็นว่าในพื้นที่นี้เกษตรกรไม่มีกระบวนการในการบ่มชาเมี่ยง มีขั้นตอนดังนี้
การนึ่ง อุปกรณ์ที่ใช้ในการนึ่งชาเมี่ยง มีดังนี้
ภาพที่ 168 อุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการนึ่งชาเมี่ยง ในพื้นที่จังหวัดลำปาง
กระบวนการในการนึ่งชาเมี่ยง
- หลังจากจุดไฟที่เตาโดยใช้ฟืนต้องสุ่มไฟให้มีความแรงตลอดเวลา นำชาเมี่ยงสดที่เก็บมาได้เรียงในไหนึ่งชาเมี่ยง (ขนาดกว้าง 47 เซนติเมตร สูง 67 เซนติเมตร) ให้เต็มแล้วช่วยกันหาบไหนึ่งชาเมี่ยงวางบนเตา โดยทั่วไป 1 ไห จะนึ่งชาเมี่ยงได้ประมาณ 1,000 กำต่อครั้ง (ประมาณ 500 กิโลกรัม)
- ก่อนที่จะนึ่งชาเมี่ยง จะมีการนำ “ตาด” มารองก้นไหก่อน (ขนาดกว้าง 21 เซนติเมตร ยาว 21 เซนติเมตร) ซึ่งลักษณะของตาด จะเป็นตะแกรงไม้ขนาดพอดีกับก้นไห
- ใช้ถุงกระสอบฟางปิดปากไหและนำผ้าชุบน้ำจนชุ่มมาอัดรอบๆ ไหนึ่งชาเมี่ยงบริเวณด้านล่างระหว่างเตากับไห เพื่อกันให้ความร้อนจากเตาไหลเข้าสู่ไหได้เต็มที่ ผ้าชุบน้ำนี้ชาวบ้านเรียกว่า “เตี่ยวหม้อนึ่ง” (กางเกง) แล้วยกไหนึ่งขึ้นเตา
- เมื่อเริ่มนึ่ง จนใบชาเมี่ยงยุบตัวลง ก็จะปรับระดับความร้อนของไฟให้คงที่ เช่นเดียวกันกับพื้นที่แพร่แต่ใช้ระยะเวลาในการนึ่งเพียง ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที เมื่อนึ่งได้ที่ จะสังเกตได้จากควันน้อยๆที่ลอยขึ้นมาบนไห และมีกลิ่นหอมของใบชาเมี่ยง ลักษณะใบจะนิ่ม หากชิมจะมีรสชาติอมหวาน
- เมื่อนึ่งเสร็จยกไห และหาบไปเทผึ่งรอให้เย็น
การหมัก อุปกรณ์ที่ใช้ในการหมักชาเมี่ยง มีดังนี้
ภาพที่ 169 อุปกรณ์ในการหมักชาเมี่ยง ในพื้นที่จังหวัดลำปาง
กระบวนการการหมัก
- นำชาเมี่ยงมาวางเรียงในถังหมักชาเมี่ยง (ขนาดกว้าง 41 เซนติเมตร สูง 52 เซนติเมตร) ใส่ชาเมี่ยงได้ 100 กำ (ประมาณ 50 กิโลกรัม)
- เทน้ำใส่ให้ท่วมชาเมี่ยง แล้วปิดปากถุงให้มิดชิด ไม่ให้อากาศภายนอกเข้าไปในถุง (ขั้นตอนนี้ถ้าต้องการให้ชาเมี่ยงฝาดจะใช้เวลาในการหมักขั้นต่ำ 1 อาทิตย์ และชาเมี่ยงส้มใช้เวลาในการหมักขั้นต่ำ 2-3 เดือน)
5.) การบรรจุและจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ชาเมี่ยงถูกบรรจุลงในตะกร้าไม้ไผ่ ขนาดกว้าง 65 เซนติเมตร สูง 40 เซนติเมตร โดยจะมีการนำถุงพลาสติกมาลองในเข่งที่บรรจุชาเมี่ยงได้ประมาณ 100 กำ (ประมาณ 50 กิโลกรัม) ก่อนปิดฝาด้านบน การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชาเมี่ยงส่วนใหญ่จะขายชาเมี่ยงนึ่ง และชาเมี่ยงหมักราคาขายในแต่ละปีจะไม่เท่ากันเพราะความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นและจำนวนชาเมี่ยงที่เก็บได้น้อยลง จะอยู่ในช่วงประมาณ 24-26 บาทต่อกิโลกรัม
การจัดการห่วงโซ่อุทานการผลิตชาเมี่ยง ในจังหวัดลำปาง แสดงในภาพที่ 19 จะเห็นว่า ในกิจกรรมห่วงโซ่อุปทานมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholder) ภายในห่วงโซ่มีทั้งหมด 4 ส่วน คือ เกษตรกรผู้ทำการปลูก เก็บเกี่ยวและกระบวนการนึ่งที่เป็นเฉพาะครัวเรือน, เกษตรกรผู้รับซื้อของเพื่อนบ้านมาหมักต่อ, ผู้ค้าปลีกหรือผู้ค้าส่ง และ ลูกค้า เมื่อเปรียบเทียบกับห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรในระดับพื้นฐาน การผลิตชาเมี่ยงในบริเวณนี้ยังถือว่าเป็นลักษณะห่วงโซ่ที่ไม่มีความซับซ้อนแต่จะแตกต่างจากจังหวัดแพร่ คือมีลักษณะของผู้แปรรูปในกระบวนการหมักแยกจากกลุ่มผู้ปลูกและผู้เก็บเกี่ยว มีการวางแผนการรับซื้อ และมีการลงทุนในอุปกรณ์การแปรรูปอย่างชัดเจน การตลาดยังคงมีลักษณะการผลิตแบบกึ่งพันธสัญญา จากการที่เกษตรกร ส่งให้กับพ่อค้าคนกลางรายเดิมทุกปี และมีบางส่วนที่เกษตรกรเป็นผู้ค้าปลีกสินค้าของตนเอง โดยมีแหล่งลูกค้าประจำ ยังไม่พบในลักษณะการซื้อขายแบบประกันราคา การจัดสมดุลระหว่างระดับอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ของชาเมี่ยงถือว่ามีความสมดุล คือไม่เกิดเหตุการณ์สินค้าขาดแคลน หรือสินค้าล้นตลาด แต่บางครั้งพบว่ามีการกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง
ภาพที่ 170 ห่วงโซ่อุปทานการผลิตเมี่ยงบ้านป่าเมี่ยง ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
การผลิตชาเมี่ยงในพื้นที่จังหวัดลำปางจะมีความแตกต่างจากจังหวัดแพร่ ในกระบวนการผลิตที่ผู้เก็บเกี่ยว ภายหลังจากการนึ่งซึ่งใช้เวลาในการนึ่งน้อยกว่า ในจังหวัดแพร่โดยใช้เวลานึ่งเพียง 1.30 ชั่วโมง จากนั้นนำมาขายต่อให้กับเกษตรกรที่ทำหน้าที่เหมือนกับพ่อค้าคนกลางในหมู่บ้านที่ทำการรับซื้อชาเมี่ยงเพื่อนำมาหมักต่อ ราคาซื้อขายจะอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 20 บาท ชาเมี่ยงที่ผ่านการหมักแล้วจะถูกจัดจำหน่ายใน 2 ลักษณะ คือ 1.ชาเมี่ยงฝาด ใช้เวลาหมักอย่างน้อย 1 อาทิตย์ 2.ชาเมี่ยงส้ม ใช้เวลาหมักอย่างน้อย 3 เดือน ราคาขายชาเมี่ยงให้พ่อค้าคนกลางภายนอกพื้นที่อยู่ที่ราคาประมาณ กิโลกรัมละ 24-26 บาท และจะส่งต่อไปยังพ่อค้าคนกลาง หรือผู้ค้าปลีก เพื่อขายให้กับลูกค้าต่อไป จากการศึกษาการจัดการห่วงโซ่อุปทานสามารถสรุปได้ในตารางที่ 4-23 ดังนี้
ตารางที่ 68 ตารางสรุปผลการศึกษาการจัดการห่วงโซ่อุปทานการผลิตชาเมี่ยงในจังหวัดลำปาง
วิเคราะห์สภาพแวดล้อมในการผลิตชาเมี่ยงในพื้นที่ จังหวัดลำปาง
จุดแข็ง
- มีตลาดที่รองรับการจัดจำหน่ายชาเมี่ยงในหลายจังหวัด และชาเมี่ยงในพื้นที่มีคุณภาพสูง เป็นที่นิยมของผู้บริโภค
- ผลผลิตชาเมี่ยงสามารถเก็บและจัดจำหน่ายได้ตลอดทั้งฤดู มีต้นทุนการผลิตต่ำ
- คนรุ่นจุดใหม่ยังนิยมอยู่และทำงานในถิ่นฐานของตน
จุดอ่อน
- วิธีการเก็บชาเมี่ยงที่แตกต่างไปจากพื้นที่อื่น ที่เก็บหมดทั้งใบทำให้ระยะเวลาการผลิใบใหม่จนถึงการเก็บเกี่ยวครั้งต่อไปใช้เวลานานกว่าพื้นที่อื่น
- จำนวนคนในครัวเรือนไม่เพียงพอต่อกระบวนการในการผลิตชาเมี่ยงทำให้ต้องมีการจ้างแรงงานเพิ่มเติม ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
- ถึงแม้จะมีตลาดรองรับในหลายจังหวัดแต่พ่อค้าคนกลางไม่มีมากราย ทำให้บางครั้งประสบปัญหาการถูกกดราคา
โอกาส
- อยู่ใกล้กลับอุทยานแจ้ซ้อนซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการเป็นประจำ สามารถต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยววิถีวัฒนธรรมได้ในอนาคต
- ชาเมี่ยงมีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นเช่น ชาชาเมี่ยง หมอนชาเมี่ยง เป็นต้น
- มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในชุมชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำให้มีแหล่งความรู้และงบประมาณในการส่งเสริมให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชน
อุปสรรค
- วัฒนธรรมการรับประทานชาเมี่ยงเป็นที่รู้จักเฉพาะคนรุ่นก่อนทำให้คนสมัยนี้ไม่นิยมในการรับประทานชาเมี่ยง
- มีพืชอย่างอื่นมาทดแทนชาเมี่ยงในระหว่างรอบระยะเวลาที่ไม่มีผลมีผลผลิตของชาเมี่ยงทำให้การทำชาเมี่ยงเกิดการลดจำนวนลง