ผลการศึกษาการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานการผลิตชาเมี่ยง
การศึกษาในครั้งนี้ใช้แบบสอบถามแบบกึ่งโครงสร้างเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 10 กลุ่มตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูลถูกแบ่งส่วนอธิบายผลลัพธ์ตามพื้นที่ศึกษาวิจัย ตามลำดับดังนี้
1.2.1 ผลการศึกษาการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน พื้นที่ บ้านแม่ลัว ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ จากการเก็บรวมรวมข้อมูลจำนวน 3 กลุ่มตัวอย่าง
1.2.2 ผลการศึกษาการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน บ้านป่าชาเมี่ยง ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง จากการเก็บรวมรวมข้อมูลจำนวน 3 กลุ่มตัวอย่าง
1.2.3 ผลการศึกษาการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ตำบลเมืองก๋าย อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ จากการเก็บรวมรวมข้อมูลจำนวน 4 กลุ่มตัวอย่าง
ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะอธิบายถึง ข้อมูลจำเพาะ ผลการวิเคราะห์การจัดการห่วงโซ่อุปทานการผลิตชาเมี่ยง และผลการวิเคราะห์ สภาพแวดล้อม (SWOT Analysis)ในการผลิตชาเมี่ยงในแต่ละพื้นที่ มีรายละเอียดดังนี้
4.2.1 ผลการศึกษาการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน พื้นที่ บ้านแม่ลัว ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่
ภาพที่ 159 แผนที่บ้านแม่ลัว ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่
ข้อมูลจำเพาะของพื้นที่บ้านแม่ลัว ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่
ประวัติและความเป็นมาของพื้นที่ ประวัติดั้งเดิมก่อนจะมาเป็นหมู่บ้านแม่ลัว เกิดจากคนชาวลั๊วะและชาวบ้านดงที่อยู่ในบริเวณบ้านช่อแฮ แย่งพื้นที่ทำกินระหว่างกัน ต่อมาชาวลั๊วะต่อสู้กับชาวบ้านดงพ่ายแพ้จึงอพยพ ขึ้นไปหลบภัยบนพื้นที่บ้านแม่ลัว เพราะเป็นพื้นที่สูง เข้าถึงได้ยาก เนื่องจากพื้นที่บ้านแม่ลัวเป็นพื้นที่ป่าใหญ่ ชาวบ้านจึงมีอาชีพเก็บของป่าและค้าขายไม้ (ข้อมูลจากพ่อดวง ของทิพย์ อายุ 78 ปี) ได้ยาก ในสมั๊ยนั้นชาวล๊วะเริ่มมีการปลูกต้นชาเมี่ยงเพื่อบริโภคและค้าขาย เนื่องจากชาเมี่ยงเป็นพืชที่มีลักษณะยืนต้น มีอายุยืนปลูกครั้งเดียวเก็บเกี่ยวได้ตลอดฤดู โดยพันธุ์ชาเมี่ยงที่คนลั๊วะนำมาปลูก เรียกว่า “ชาเมี่ยงเมือง” มีลักษณะใบหิ้น (สั้น) และเมื่อคนลั๊วะย้ายถิ่นฐานออกไป ชาวบ้านก็เริ่มเข้ามาตั้งรกราก เริ่มจากบริเวณซึ่งปัจจุบันคือ หมู่ที่ 4 และ หมู่ที่ 6 ตําบลสวนเขื่อน อําเภอเมือง จังหวัดแพร่ ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองแพร่ ไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 10 กิโลเมตร และเริ่มกระจายถิ่นฐานไปที่ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ซึ่งคาดว่ามีการปลูกชาเมี่ยงเพื่อการค้าและการบริโภคมาอย่างต่อเนื่องจากองค์ความรู้ในการเพาะปลูกของชาวลั๊วะเมื่อในอดีต ในปัจจุบัน เกษตรกรในพื้นที่ทำการปลูกเพิ่มทดแทนตนที้ตายไป โดยนำเมล็ดพันธุ์ชาเมี่ยงจากจังหวัดน่านมาปลูก ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ชาเมี่ยงน่าน” (พันธุ์อัสสัม)
หมายเหตุ: ชาวลั๊วะ เป็นคนมอญ-เขมร ประเทศกัมพูชา อยู่ในกลุ่มภาษาออสโตรเอเชียติก จากนั้นได้ มาอาศัยอยู่ในแถวของภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่และน่าน
ผลการวิเคราะห์การจัดการห่วงโซ่อุปทานการผลิตชาเมี่ยงพื้นที่บ้านแม่ลัว ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่
ผลการศึกษาห่วงโซ่อุปทานการผลิตชาเมี่ยงบ้านแม่ลัวตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ มีองค์ประกอบทั้งหมด 5 กิจกรรมได้แก่
1.) การปลูก ในพื้นที่บ้านแม่ลัว ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ มีการปลูกชาเมี่ยงครัวเรือนละประมาณ 4–5 ไร่ 1 ไร่มีต้นชาเมี่ยง 200 ต้นโดยระยะห่างระหว่างต้น 1.5 เมตร ต้นชาเมี่ยงสามารถเจริญเติบโตในเขตป่าร่วมกับต้นไม้ชนิดอื่นๆ ต้นชาเมี่ยงที่มีนั้นเป็นต้นชาเมี่ยงที่มีอยู่แล้วในอดีต โดยชาวบ้านมีเขตครอบครองป่าชาเมี่ยงของตนที่ได้มาจากการรับสืบทอดมรดกจากบรรพบุรุษ เกษตรกรขยายพันธุ์เพิ่มผลผลิตในการเพาะปลูกโดยการเพาะเมล็ด หรือนำต้นอ่อนที่เกิดจากเมล็ดที่งอกเองตามธรรมชาติในป่าไปปลูกยังพื้นที่ว่างภายในสวนป่า หรือภายในพื้นที่ของตนเองเพื่อทดแทนต้นเดิมที่ตายไป
2.) การดูแลรักษา การดูแลรักษาป่าชาเมี่ยงบ้านแม่ลัว ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ มีการดูแลโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องให้น้ำและปุ๋ย ต้นชาเมี่ยงสามารถเติบโตได้โดยการอาศัยน้ำและปุ๋ยจากธรรมชาติ แต่มีการตัดหญ้าโดยการจ้างคนงาน 1-2 คน ต่อพื้นที่ 3-4 ไร่โดยจ่ายค่าจ้างคนงานคนละ 400–500 บาทต่อวัน (เครื่องตัดหญ้าและนำมันเป็นของคนตัดหรือคนรับจ้าง)
3.) การเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะมีอุปกรณ์ในการเก็บดังนี้
ภาพที่ 160 อุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บชาเมี่ยงในพื้นที่จังหวัดแพร่
การเก็บชาเมี่ยง เกษตรกรจะสะพายก๋วยเป๊อะชาเมี่ยงคล้ายสะพายเป้ไว้ข้างหลัง และใช้ผ้าหรือเชือกยาวๆ มัดเอวคล้ายเป็นเข็มขัดแล้วเอาตอกเสียบไว้ที่ผ้า/เชือกมัดเอว และเริ่มทำการเก็บและมัดกำ การเก็บใบชาเมี่ยงจะเด็ดใบชาเมี่ยงแต่ละยอดอ่อนขนาด 1 กำมือ หรือเด็ดประมาณใบที่ 3 และทิ้งไว้ 2 ใบเพื่อแตกยอดในรอบต่อไป เมื่อเด็ดได้ประมาณ 1 กำมือ (เต็มกำมือ) ก็จะใช้ตอกไม้ไผ่มัด ใน 1 วัน ชาวบ้าน 1 คนจะเก็บได้ประมาณ 100-150 กำ (ประมาณ 14-21 กิโลกรัม) และมีการจ้างคนงานเก็บชาเมี่ยง โดยให้ค่าจ้างต่อกำ กำละ 2 บาท ซึ่งการเก็บใบชาเมี่ยงจะยืนเก็บทั้งวันในช่วงเวลาพักกลางวันชาวบ้านจะกลับไปพักกินข้าวที่บ้านจนกระทั่งเวลา 13.00 น. ชาวบ้านก็จะไปเก็บชาเมี่ยงอีกรอบจนถึงประมาณ 17.00 น. ก็จะหาบก๋วยเป๊อะชาเมี่ยงที่เต็มไปด้วยชาเมี่ยงมัดกำกลับบ้านในระยะเวลา 1 ปีชาวบ้านบ้านแม่ลัว ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ เก็บชาเมี่ยงได้เฉลี่ยปีละ 3,000–6,000 กำต่อครัวเรือน (ประมาณ 429-857 กิโลกรัม) ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวชาเมี่ยงมี 3 ช่วงได้แก่
ช่วงแรก เก็บเดือน พฤษภาคม - กรกฎาคม
ช่วงที่สอง เก็บเดือน สิงหาคม - กันยายน
ช่วงที่สาม เก็บเดือน ตุลาคม - ธันวาคม
4.) กระบวนการผลิตชาเมี่ยง แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ การนึ่ง, การบ่ม และการหมัก ดังนี้
การนึ่ง อุปกรณ์ในการนึ่งชาเมี่ยงมี ดังนี้
ภาพที่ 161 อุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการนึ่งชาเมี่ยง ในพื้นที่จังหวัดแพร่
กระบวนการในการนึ่งชาเมี่ยง
- หลังจากจุดไฟที่เตาแล้วต้องควบคุมไฟให้มีความร้อนคงที่ตลอดเวลา
- นำชาเมี่ยงสดที่เก็บมาได้เรียงในไหนึ่งชาเมี่ยง (ขนาดกว้าง 48 เซนติเมตร สูง 78 เซนติเมตร) ให้เต็มแล้วช่วยกันหาบไหนึ่งชาเมี่ยงวางบนเตา ซึ่งทำมาจากไม้รูปทรงกระบอกมีรูกลวงตรงกลางโดยทั่วไป 1 ไห จะนึ่งชาเมี่ยงได้ประมาณ 300 กำต่อครั้ง (ประมาณ 43 กิโลกรัม)
- ก่อนที่จะนึ่งชาเมี่ยง จะมีการนำ “ตาด” มารองก้นไหก่อน (ขนาดกว้าง 29 เซนติเมตร สูง 35 เซนติเมตร) ซึ่งลักษณะของตาดจะเป็นตะแกรงไม้ขนาดพอดีกับก้นไห
- ใช้ถุงกระสอบฟางปิดปากไหและนำผ้าชุบน้ำจนชุ่มมาอัดรอบๆ บริเวณด้านล่างระหว่างเตากับไห เพื่อกันให้ความร้อนจากเตาไหลเข้าสู่ไหได้เต็มที่ ผ้าชุบน้ำนี้ชาวบ้านเรียกว่า “เตี่ยวหม้อนึ่ง” (กางเกง) แล้วยกไหนึ่งขึ้นเตา
- เมื่อเริ่มนึ่ง ความร้อนจะไหลเข้าสู่ไหและเริ่มร้อนจากชาเมี่ยงชั้นล่างไล่ขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุด เราจะสังเกตเห็นใบชาเมี่ยงยุบตัวลง เมื่อใบชาเมี่ยงยุบตัวลง ก็จะปรับระดับความร้อนของไฟให้คงที่ โดยใช้ระยะเวลาในการนึ่งประมาณ 3-4 ชั่วโมง เมื่อนึ่งได้ที่ จะสังเกตได้จากควันน้อย ใบชาเมี่ยงมีกลิ่นหอม และนิ่ม หากชิมจะมีรสชาติอมหวาน
- เมื่อนึ่งเสร็จยกไห และหาบไปเทผึ่งรอให้เย็น แล้วจะมีการดึงเหล็ม (ก้านใบชาเมี่ยง) ทิ้ง เรียกว่า “ถอดเหล็มใบชาเมี่ยง”
การบ่ม อุปกรณ์ในการบ่มชาเมี่ยง
ภาพที่ 162 อุปกรณ์ในการบ่มชาเมี่ยง ในพื้นที่จังหวัดแพร่
กระบวนการในการบ่มชาเมี่ยง
- นำชาเมี่ยงแต่ละกำใส่ในถุงกระสอบฟาง (กระสอบปุ๋ย) จนเต็ม 500 กำ (ประมาณ 71 กิโลกรัม) แล้วมัดปากถุงให้แน่น
- นำมาใส่ในก๋วยหรือเข่ง (ขนาดกว้าง 38 เซนติเมตร สูง 43 เซนติเมตร) ทิ้งไว้ เรียกขั้นตอนนี้ว่า “การอุ๊ก” หรือ “การบ่ม” ซึ่งจะอุ๊กจนเริ่มมี “เหนา” หรือ “เชื้อรา” ขึ้นที่ใบชาเมี่ยงโดยทำการอุ๊ก 3 - 4 คืน
การหมัก อุปกรณ์ในการหมักชาเมี่ยง มีดังนี้
ภาพที่ 163 อุปกรณ์ในการหมักชาเมี่ยง ในพื้นที่จังหวัดแพร่
กระบวนการในการหมัก
- นำชาเมี่ยงที่อุ๊กแล้ว มาวางเรียงในถังหมักชาเมี่ยง (ขนาดกว้าง 113 เซนติเมตร สูง 72 เซนติเมตร) ใส่ชาเมี่ยงได้ 3,000 – 4,000 กำ (ประมาณ 429-571 กิโลกรัม) จนเต็มก๋วย
- เอาเกลือ 2 ถ้วยโรยใส่ ผสมเกลือคนจนละลายแล้วเอาไปใส่ดองชาเมี่ยง จะช่วยทำให้ชาเมี่ยงเปรี้ยวไวขึ้น หลังจากนั้นจึงใส่น้ำสะอาดลงไปจนท่วมเต็มใบชาเมี่ยง แล้วมัดปากถุงให้แน่นใช้ของหนักวางทับไว้ใช้เวลาในการหมัก 2-3 เดือน
5.) การบรรจุและจัดจำหน่าย อุปกรณ์ในการบรรจุและจัดจำหน่ายมี ดังนี้
ภาพที่ 164 อุปกรณ์ในการบรรจุเพื่อขนส่งและจัดจำหน่าย
การจัดจำหน่าย การบรรจุผลิตภัณฑ์ชาเมี่ยงจะบรรจุผลิตภัณฑ์ชาเมี่ยงลงในตะกร้าไม้ไผ่สานขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า “ก๋วย” (ขนาดกว้าง 38 เซนติเมตร สูง 43 เซนติเมตร) โดยจะมีการนำกระสอบมาลองในก๋วยที่บรรจุชาเมี่ยงได้ประมาณ 500 กำ (น้ำหนักประมาณ 71 กิโลกรัม) ก่อนปิดฝาด้านบนด้วยใบตองและไม้ไผ่สานให้สวยงาม การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชาเมี่ยงจะจำหน่ายแบบขายชาเมี่ยงสด และขายชาเมี่ยงหมัก ราคาขายในแต่ละปีจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดและจำนวนชาเมี่ยงที่ผลิตได้ แต่อยู่ในช่วงราคาประมาณ 21-31.5 บาทต่อกิโลกรัม
การจัดการห่วงโซ่อุทานการผลิตชาเมี่ยง ในจังหวัดแพร่ แสดงในภาพที่ 164 จะเห็นว่า ในกิจกรรมห่วงโซ่อุปทานมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholder) ภายในห่วงโซ่มีทั้งหมด 3 ส่วน คือ เกษตรกร พ่อค้าคนกลาง และ ลูกค้า เมื่อเปรียบเทียบกับห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรในระดับพื้นฐาน การผลิตชาเมี่ยงถือว่าเป็นห่วงโซ่ที่สั้น และไม่มีความซับซ้อน และมีลักษณะการผลิตแบบกึ่งพันธสัญญา จากการที่เกษตรกร ส่งให้กับพ่อค้าคนกลางรายเดิมทุกปี มีการสื่อสารช่วยเหลือกันในลักษณะเป็นมิตร แต่ไม่พบในลักษณะการซื้อขายแบบประกันราคา การจัดสมดุลระหว่างระดับอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ของชาเมี่ยงถือว่ามีความสมดุล คือไม่เกิดเหตุการณ์สินค้าขาดแคลน หรือสินค้าล้นตลาด หรือสินค้ามีราคาสูง-ต่ำไปจากเดิมมากเกินไป
ภาพที่ 165 ผลการศึกษาห่วงโซ่อุปทานการผลิตชาเมี่ยงบ้านแม่ลัว ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่
ต้นชาชาเมี่ยง (ชาที่นิยมมาผลิตชาเมี่ยง) เกิดขึ้นมาในหมู่บ้านแม่ลัวนี้มามากกว่า 200 ปี มีการปลูกเสริมบ้างเล็กน้อย การเก็บชาชาเมี่ยงจะเก็บวันละ 14-20 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน บางครัวเรือนเก็บชาเสร็จจะมีคนมารับซื้อสดบางส่วนราคากิโลกรัมละ 21.00 บาท มีการจ้างคนงานมาช่วยเก็บ ค่าจ้างกิโลกรัมละ 14.00 บาท ในการดูแลรักษาต้นชานั้นไม่ได้ใส่ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยชีวภาพแต่อย่างใด อาศัยแค่น้ำฝนจากธรรมชาติเท่านั้น มีการตัดหญ้าในพื้นที่ของตนเองทุกๆ 2-3 เดือน กระบวนการผลิตชาเมี่ยงจะมี 3 ขั้นตอนได้แก่ การนึ่ง การบ่ม และการหมัก หลังจากทำการหมักเสร็จแล้วก็ขายให้พ่อค้าคนกลางในราคา 28.00-31.50 บาท/กิโลกรัม จากข้อมูลดังกล่าวสามารถสรุปในตารางได้ ดังนี้
ตารางที่ 67 ตารางสรุปผลการศึกษาการจัดการห่วงโซ่อุปทานการผลิตชาเมี่ยงในจังหวัดแพร่
วิเคราะห์สภาพแวดล้อมในการผลิตชาเมี่ยงจังหวัดแพร่
จุดแข็ง
- มีความสามารถต่อรองราคาจากพ่อค้าคนกลางได้เนื่องจากมีแหล่งรับซื้อจากพ่อค้าคนกลางหลายคน
- วัฒนธรรมการรับประทานชาเมี่ยงและการใช้ในพิธีกรรมต่างๆ จะสูญหายได้ยากเนื่องจากคนภาคเหนือยังคงนิยมมารับประทานและนำชาเมี่ยงมาใช้ในงานต่างๆอยู่เสมอ
- ผลผลิตของชาเมี่ยงสามารถเก็บและจัดจำหน่ายได้ตลอดทั้งฤดูรวมไปถึงมีต้นทุนการผลิต
ที่ต่ำมาก
- มีการปลูกชาเมี่ยงเพิ่มขึ้นบ้างเนื่องจากเกษตรกรในพื้นที่ส่วนใหญ่มีรายได้หลักจากการผลิตชาเมี่ยง
จุดอ่อน
- มีตลาดที่รองรับการจัดจำหน่ายชาเมี่ยงเพียงจังหวัดเดียว
- วิธีการเก็บชาเมี่ยงเก็บหมดทั้งใบทำให้ระยะเวลาการออกใบใหม่ในครั้งต่อไปใช้เวลานาน
- เนื่องจากเป็นธุรกิจภาคครั้วเรือน เกษตรกรมีจำนวนสมาชิกไม่เพียงพอต่อแรงงานที่จำเป็นในกระบวนการผลิตชาเมี่ยงทำให้ต้องมีการจ้างแรงงานจากคนในพื้นที่เข้ามาช่วย
โอกาส
- เนื่องจากคุณสมบัติของชาเมี่ยงที่มีสารที่มีประโยชน์จำนวนมาก ชาเมี่ยงจึงมีโอกาสที่จะถูกพัฒนาไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น เช่น ชาชาเมี่ยง หมอนชาเมี่ยง เป็นต้น
- ราคาของชาเมี่ยงมีแนวโน้นสูงขึ้นจากเดิม เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผลผลิตมีแนวโน้มที่ลดลง
อุปสรรค
- วัฒนธรรมการรับประทานชาเมี่ยงเป็นที่รู้จักเฉพาะคนรุ่นก่อนทำให้คนรุ่นใหม่ไม่นิยมในการรับประทานชาเมี่ยง
- มีพืชอย่างอื่นมาทดแทนชาเมี่ยงในระหว่างรอบระยะเวลาที่ไม่มีผลมีผลผลิตของชาเมี่ยงทำให้การทำชาเมี่ยงเกิดการลดจำนวนลง